วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

• ชาตินี้เป็นมนุษย์ได้พบพุทธศาสนา
ก็ถือเป็นโอกาสทอง
ไม่เป็นรองชาติไหน ๆ แล้ว 
ขืนไม่ฉวยโอกาสทำทาน 
ไม่รักษาศีลเลย 
แถมคิดไม่ดีอยู่เรื่อย ๆ

: อย่างนี้แม้เกิดใหม่ยังได้เป็นมนุษย์อยู่
ก็จะรูปร่างหน้าตาบูด ๆ เบี้ยว ๆ ไปตามยถากรรม

: ผู้มีโอกาสล่วงรู้เส้นทางกรรม
ที่จะปรุงแต่งให้รูปโฉมงามพร้อม
ย่อมประพฤติกาย วาจา ใจให้เป็นกุศลด้วย
และสร้างบุญสร้างกุศลพิเศษประการต่าง ๆ ไปด้วย

: เพื่อความไร้ที่ติแห่งการปรากฏกาย
ในชาติภพเบื้องหน้าตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพานกัน

ดั ง ต ฤ ณ
• อายุบอกความแก่
การควบคุมอารมณ์บอกระดับอาวุโส

• ถ้าปากยังพ่นไฟ ใจก็ไม่มีทางเย็น

• เหตุเกิดจากไฟ
เราเลือกได้ว่าจะเป็นไฟ หรือน้ำนะ
ถ้าเลือกเป็นไฟ ก็เผาใจตนเองและผู้อื่น
ถ้าเลือกเป็นน้ำ ก็นำความเย็นสบายมาสู่สองฝ่าย

• ธรรมะมีหลายระดับ
ธรรมะใดปกป้องคุณ
จากความโกรธความเกลียด
และการแบ่งข้างเพื่อฟาดฟันกันไม่ได้
ธรรมะนั้น
ก็ยังป้องกันคุณ
จากการตายไปสู่ทุคติภูมิไม่ได้

• ผลของความเคียดแค้นคือใจที่ดำ
และสิ่งเดียว
ที่จะได้รับจากความตาย
ในขณะใจดำคือภพที่มืด

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• คุณอาจโกรธโดยไม่ตั้งใจ
แต่ไม่มีทางอภัยโดยบังเอิญ

• นิสัยไม่อยากเอาเรื่องเอาราวใคร
ทำให้คุณไม่ต้องเหนื่อยทำใจนักเมื่อต้องอภัย
แต่คุณก็จำเป็นต้องฝึกอภัยไว้มาก
กว่าจะสร้างนิสัยไม่อยากเอาเรื่องเอาราวใครได้เป็นปกติ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ที่สุดของการล้างแค้น
คือการรบกับความมืดในใจต่อ

ทั้งก่อนและหลังการแก้แค้น
สิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจเรามากที่สุดคือความเกลียด
ความมืดดำ อันเกิดจากความเกลียด
จะทำให้คุณพร้อมสร้างศัตรูใหม่ขึ้นมาได้ตลอดเวลา
ถ้าไม่ใช่คน ก็เป็นอารมณ์ร้ายของตัวเอง
อารมณ์ร้ายจะตามรบกวนคุณไม่ให้เป็นสุข
สู้ยาก ไล่ยาก

: วิธีแก้แค้นที่ดีที่สุด
จึงไม่ใช่ทำให้ใครตาย
แต่เป็นการทำให้ความเกลียดจางหายไปจากใจเราเอง

• ความเกลียด
เป็นเหมือนจุดด่างพร้อยในชีวิต
ลบไม่ได้ ก็คล้ายชีวิตสะอาดขึ้นไม่ได

• เป็นไปไม่ได้
ที่จะอภัยศัตรูขณะถือความเกลียดเป็นมิตร
แต่เป็นไปได้ที่จะอภัยมิตร
ขณะถือความเกลียดเป็นศัตรู

ดั ง ต ฤ ณ



• มันไม่มีอะไรเสียหายไปยิ่งกว่าจิต
ถ้าหากว่าเราเสียคนรักไป
เสียพ่อแม่ เสียเงินทอง เสียโลกไปทั้งใบเนี่ยนะ

มันจะไม่เท่ากับเสียจิตไปดวงเดียว
เพราะว่าสิ่งที่มันเป็นแก่นของชีวิตที่แท้จริงเนี่ย
มันไม่ใช่ของภายนอก
หรือบุคคลภายนอก
แต่มันเป็นจิตใจของเราเอง...

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ของหาย แต่ใจไม่หาย
ก็ได้รู้สึกว่าใจเราเป็นใจที่ดีแล้ว

คนหาย แต่ใจไม่หาย
ก็รู้สึกว่าใจเป็นที่พึ่งของตัวเองแล้ว

ถ้าใจยังไม่ถึง
ก็จะได้เป็นโอกาสพยายามทำให้ถึง

: บางทีการได้พบกับใจ
ที่ปล่อยวางอย่างเป็นสุข
อาจเป็นข้อดีที่สุดที่คุณจะพบ
ในท่ามกลางเรื่องร้ายทั้งหลายแหล่ก็ได้

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ที่จิตจมลงเรื่อยๆ
เพราะเราไม่หัดห้ามใจ
ทุกเรื่องในชีวิตมันโยงกันหมด
อย่าคิดว่าแต่ละเรื่องมันแยกกัน เพราะใจเป็นใจเดียวกัน

เราจมในเรื่องหนึ่ง ห้ามใจไม่ได้ในเรื่องหนึ่ง
มันก็จมไปทุกเรื่อง ห้ามใจไม่ได้ทุกเรื่อง

ดั ง ต ฤ ณ



การบำรุงรักษาสิ่งใด ๆ ในโลก

การบำรุงรักษาตนคือใจเป็นเยี่ยม

จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือใจ

ควรบำรุงรักษาด้วยดี

ได้ใจแล้วคือได้ธรรม

เห็นใจตนแล้วคือเห็นธรรม

รู้ใจแล้วคือรู้ธรรมทั้งมวล

ถึงใจตนแล้วคือถึงพระนิพพาน

ใจนี้คือสมบัติอันล้ำค่า

จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมองข้ามไป
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

• เส้นทางธรรมเป็นเส้นทางเดียว ที่มีปลายทาง
จึงเป็นทางเดียว
ที่ไม่พาไปสู่ความวกวนสูญเปล่า

: แม้เบื้องแรก
เห็นขอบฟ้าไกลเหมือนไม่มีวันไปได้ถึง
ต่อเมื่อเดินดูเรื่อยๆ
จึงรู้ว่าไม่ต้องไปไกลให้ถึงขอบฟ้า
สุดทางธรรม
จะอยู่ก่อนขอบฟ้ามากนัก

และสุดทางนั้น
ก็สั้นจนปลายเท้าของชีวิตนี้พาไปได้ถึงแน่

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• อายุคนนั้นสั้น
เก็บของไว้กับกายได้เดี๋ยวเดียว
แต่ถ้าฉลาดในการเดินทางไกล
แจกสิ่งที่มีเป็นส่วนเกินให้กับคนอื่นไป

: กระแสทาน
จะเป็นกระแสธารที่โอบอุ้มเราแบบไม่ร้อยรัด
และพัดพาเรา
ไปบนเส้นทางที่เยือกเย็น
มั่งมีศรีสุขยืดยาวเกินอายุของกายนี้ไปมาก

ดั ง ต ฤ ณ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

• ถ้าชีวิตบีบให้ตกต่ำ 
อย่ายอมเป็นก้อนหินตกน้ำ
แต่จงเป็นตะวันตกดิน 
ที่สิ้นแสงเพื่อขึ้นฉายในอีกฟากฟ้าหนึ่ง

• คนหน้ามืด เห็นความทุกข์กดดันให้ปล่อยตัวตกสู่ที่ต่ำ
ส่วนคนตาสว่าง เห็นความทุกข์ผลักดันให้เร่งถีบตัวขึ้นที่สูง!

: เกิดทุกข์แล้วห้อยมือห้อยเท้านิ่ง เรียกว่ากำลังหน้ามืด
แต่เป็นทุกข์แล้วเคลื่อนไหวไปหาสุข เรียกว่ากำลังตาสว่างครับ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• เคราะห์ร้าย มีสองทางเลือกให้ลงเอย
หนึ่ง คือยอมให้บาปเก่าพาไปแพ้หมดรูป
สอง คือทุ่มหมดใจสร้างบุญใหม่เอาชนะ

• ทำบุญมาก ช่วยให้ผ่านเคราะห์ร้ายง่าย
แต่ไม่ทำบาปเลย จะไม่เจอเคราะห์ร้ายเลย

• ถ้าอยากมีชีวิตที่เลวลงอย่างคิดไม่ถึง
คุณแค่หมั่นทำเลว
ที่ไม่เคยแม้จะอยู่ในความคิ
หากปรารถนาชีวิตที่ดีขึ้น อย่างคิดไม่ถึง
คุณต้องทำดีมากกว่าที่คิดว่าตัวเองจะทำได้

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• อนาคตของคุณ
มีโอกาสเกิดขึ้นตามคำทำนาย
น้อยกว่าเกิดขึ้นตามการทำเอ

ดั ง ต ฤ ณ
http://www.facebook.com/AskDungtrin

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555



• หลายคนไม่รู้จักตัวเองทั้งชีวิต
เพราะมัวอุทิศเวลา
ให้กับการทำความรู้จัก "ข้อผิดพลาดของคนอื่น"

• ปัญหาทางการเห็นของคนส่วนใหญ่
ไม่ได้เกิดจากสายตา
แต่มาจากความคิด

• ข้อผิดพลาดใหญ่ๆในชีวิต
มักไหลมาจากการคิดว่า
ตัวเองคือความถูกต้อง

• หลายครั้งการตัดสินใคร
ไม่ได้มาจากความดีเลวของเขา
แต่เกิดจากความสมหวังหรือผิดหวังของเราเอง

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ขยันมองด้านดีของคนอื่น
จะเห็นวิธีเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
เอาแต่เพ่งโทษชาวบ้าน
จะติดนิสัยเปลี่ยนโอกาสให้เป็นวิกฤต

• คนส่วนใหญ่เอาความดื้อรั้นของตัวเองเป็นความถูกต้อง
จึงไม่อาจเห็นว่าทั้งชีวิตทำผิดอะไรไปบ้าง

• คนเอาแต่ใจตัว
มักแก่เร็วและฉลาดช้า
กว่าจะพบว่าชีวิตมีไว้เปลี่ยนผิดเป็นถูก
ปรับมืดเป็นสว่าง
ก็เหลือเวลาแค่นิดเดียวแล้ว

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

: ความเจ็บปวดที่สุดของการมีชีวิต
ไม่ใข่การถูกคนอื่นทำร้าย
แต่เป็นการไม่รู้ตัวว่าทำผิดอะไรไปบ้าง
กระทั่งต้องให้ผลออกมาทำร้ายตัวเองเสียก่อน
บางคนย้อนระลึกได้แล้วสำนึกถูก
แต่บางคนก็สำนึกไม่ได้ตลอดชีวิต
นั่นแหละเรื่องน่าเศร้าที่แท้จริงก่อนตายครับ

- ดั ง ต ฤ ณ -




• อยู่ในที่มืดมิด
ไม่น่ากลัวเท่าอยู่กับ "ความคิดที่มืดมน"

• โลกจะเปลี่ยนแปลงไปนิดหนึ่ง
ในทันทีที่คุณแตกต่างไปจากเดิม

• สิ่งที่จะช่วยให้คุณรู้สึกเข้มแข็งขึ้น
คือความสามารถในการผ่านทุกข
ไม่ใช่ความสามารถในการเสวยสุข

• คุณจะรู้ว่าร่างกายแข็งแรงแค่ไหน
ก็จากความสามารถต้านไข้
หรือความรวดเร็วในการฟื้นไข

และคุณจะรู้ว่าจิตใจเข้มแข็งขนาดไหน
ก็จากความสามารถต้านความเศร้า
หรือความรวดเร็วในการหายเศร้า

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• เคราะห์ร้าย มีสองทางเลือกให้ลงเอย
หนึ่ง คือยอมให้บาปเก่าพาไปแพ้หมดรูป
สอง คือทุ่มหมดใจสร้างบุญใหม่เอาชนะ

• คนหน้ามืด เห็นความทุกข์กดดันให้ปล่อยตัวตกสู่ที่ต่ำ
ส่วนคนตาสว่าง เห็นความทุกข์ผลักดันให้เร่งถีบตัวขึ้นที่สูง!

: เกิดทุกข์แล้วห้อยมือห้อยเท้านิ่ง เรียกว่ากำลังหน้ามืด
แต่เป็นทุกข์แล้วเคลื่อนไหวไปหาสุข เรียกว่ากำลังตาสว่างครับ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ทำบุญมาก ช่วยให้ผ่านเคราะห์ร้ายง่าย
แต่ไม่ทำบาปเลย จะไม่เจอเคราะห์ร้ายเลย

• พอเข้าใจถูกได้อย่างเดียว
ชีวิตก็ไม่มีทางผิดให้เดินแล้ว

- ดั ง ต ฤ ณ -
• วันนี้คุณเดินมาไกลเกินกว่า
จะย้อนกลับไปแก้ไข
ความผิดพลาดของเมื่อวาน
แต่ยังไม่สาย
ที่จะปรับแก้แนวโน้มความผิดพลาดของวันพรุ่ง

• อย่ามัวสมมุติว่า
ย้อนเวลาได้จะแก้อะไรดี
ให้สมมุติว่า
ถ้าสำนึกได้เดี๋ยวนี้
มีความคิดไหนให้เปลี่ยนบ้าง

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .

• ผิดเรื่องเล็ก ไม่รับผิดเรื่องใหญ่

• ผิดแล้วรับ จะเป็นคนกล้า
ผิดแล้วแก้ไข จะเป็นคนดี
ผิดแล้วเรียนรู้ จะเป็นคนฉลาด
มิฉะนั้นจะขี้ขลาด เลว และโง่ต่อไป

: การรู้สึกผิดนั้นดี
แต่อย่ารู้สึกผิดนาน
อย่าโทษตัวเองอย่าด่าตัวเองไม่เลิก
บทเรียนไม่ได้มีไว้ให้ทรมานนาน
แต่มีไว้ให้จำนานๆ เข็ดหลาบนานๆ
และทำสอบครั้งต่อไปให้ผ่าน
หักห้ามจิตใจไม่ให้หลงก่อเหตุอันจะนำไปสู่ปัญหาอีก

• ความผิดในอดีต
ชดใช้ด้วยการป้องกันความผิดในอนาคต
และเพื่อจะป้องกันความผิดในอนาคตอย่างได้ผล

ก่อนอื่นต้องฝึกอภัยตัวเองให้เป็น
เพื่อจะได้เยือกเย็นพอจะมีสติคุมตัวเอง
ให้อยู่ในวินัยกับก้าวต่อๆไปได้อย่างสบายใจ
ไม่ใช่ก่นด่าตนเองจนขาดความเชื่อมั่น

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ไม่สำคัญว่า คุณล้มเหลวมากี่ครั้ง
แต่สำคัญว่า คุณใช้ความล้มเหลวให้เป็นประโยชน์ได้กี่หน

• การเอาแต่นึกถึงความผิดพลาด คือความโง่
การหมั่นระลึกถึงต้นเหตุของความผิดพลาด คือความฉลาด

• ความฝืนพยายามที่สูญเปล่า
ต่างกับความเพียรพยายามอย่างฉลาด
ตรงวิธีเห็นข้อผิดพลาด
และความเต็มใจแก้ไขข้อผิดพลาด

• เมื่อแก้ไขข้อผิดพลาดสำเร็จ
ข้อผิดพลาดจะกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ของความสำเร็จในชีวิตคุณ

- ดั ง ต ฤ ณ -
http://www.facebook.com/AskDungtrin

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คติธรรม . . . ประเสริฐสี่ . . .

หนึ่ง ประเสริฐสี่ที่ประเสริฐ เกิดเป็นมนุษย์
สอง เป็นชาวพุทธ เคารพในพระศาสนา
สาม ผู้ไม่ประมาท เชื่อโอวาทพระศาสดา
สี่ ผู้บำเพ็ญภาวนา รู้ได้ชัดปัจจัตตัง

เป็นบุญเลิศ ผู้มาเกิด เป็นมนุษย์
เป็นชาวพุทธ จิตศรัทธา สถาผล
น้อมธรรมะ มาปฏิบัติ ผึกหัดตน
ทุก ๆ คน รู้ได้ชัด ปัจจัตตัง

ผู้ประมาท ย่อมเป็นทาส อยู่ในโลก
แม้มีโชค ไม่ทำดี ไม่มีหวัง
ธรรมทั้งหบาย ท่านตรัสไว้ ไม่ปิดบัง
หมดรักชัง รู้ด้วยตน ทุกคนเอย

ผู้มีความ สงบ อบรมจิต
อย่าหลงผิด นิมิตหมาย ในแสงสี
รู้รูปนาม เป็นทุกข์ สุขไม่มี
รู้อย่างนี้ หลุดพ้น กังวลไจ

เมื่อเจ้ามา มีอะไร มากับเจ้า
ใยมัวเมา โลภลาภ ทำบาปใหญ่
มาแต่ตัว แล้วเจ้าเฝ้า เอาอะไร
ไปก็ไป ตัวเปล่า เหมือนเจ้ามา

จงหมั่นสร้าง ความดี หนีกิเลศ
พึ่งพระเวทย์ อภิธรรม พร่ำศึกษา
หมั่นเจริญ ศีลสมาธิ และปัญญา
จึงจะพา พ้นทุกข์ สุขนิรันดร์

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555



• ชนะใจตัวเองได้
ก็ชนะใจคนที่อยู่ใกล้ได้

• ทวิตเตอร์และเฟสบุ๊ค
เป็นแหล่งเพาะนิสัย
" ระบายความในใจ " ให้คนอื่นเห็น
แต่ไม่ค่อยเป็นแหล่งเพาะนิสัย
"เห็นใจคนอื่น" สักเท่าไหร่

• ในการอยู่ร่วมกันกับใครสักคน
ไม่ต้องทำดี ก็อาจเผอิญได้อย่างใจคุณ
แต่คุณจำเป็นต้องมีดี ถึงจะเห็นใจเขาได้

• อย่าคาดหวังจะให้ใครต่อใครเข้าใจคุณ
เพราะเกือบทุกคน
ก็กำลังสับสนอยู่กับการทำความเข้าใจตนเองเช่นกัน

• กว่าจะเลิกอยากให้คนอื่นเข้าใจคุณ
คุณจำเป็นต้องเข้าใจตัวเองให้ขา
และเห็นใจคนอื่นมากๆได้เสียก่อน

และพอเลิกอยากให้คนอื่นเข้าใจนะครับ
กระแสความเข้าใจคนอื่นจะเริ่มก่อตัวขึ้นในเราเอง
ตลอดจนดึงดูดเขา มาสนใจเราด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นไปแทน
นี่คือธรรมชาติของจิตที่แผ่ออกไปด้วยกระแสเมตตาโดยแท้

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• สายตาที่มองอย่างพร้อมจะทำความเข้าใจ
: ให้ความรู้สึกอบอุ่นน่าอยู่ใกล้

สายตาที่มองอย่างพร้อมจะจับผิดหาเรื่อง
: ให้ความรู้สึกกดดันน่าออกห่าง

เพียงเท่านี้ก็ควรแก่การนำไปใช้ทำนายแล้วว่า
ใครสมควรจะมีชีวิตคู่ยืนยาวได้แค่ไหน

• คนเราไม่ได้รักกันมากน้อย
เพราะเป็นคนเก่าหรือคนใหม่
แต่เพราะเจอกันแล้วรู้สึก
เหมือนพบน้ำเย็นหรือไอร้อนมากกว่ากัน

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

: พระพุทธเจ้าตรัสว่า
อยากให้ใครดีมา ก็ให้ดีกับเขาก่อน
แม้จะเถียงว่า
ดีอย่างไร มันก็ร้ายมาอยู่วันยังค่ำ

แต่ที่สุดแล้ว
เมื่อดีกับคนมากพอ
ยืนหยัดกับตัวตนเดิมนานพอ
ความพร้อมจะดีกับใครๆ จริงๆ

ก็เข้มข้นพอจะผ่อนหนักให้เป็นเบ
หรือเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได
ถึงตรงนั้นจะรู้ว่า

"พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ดีครั้งเดียว
แล้วได้รับผลตอบแทนดีๆ กลับมาตลอดไป
ท่านให้ดีตลอดไป
แล้วค่อยหวังจะรับผลดีได้นานๆ ครับ"

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• อยู่ร่วมกัน...
ต้องสร้างความรู้สึกอันเป็นบุญกุศล
ไปในทางเดียวกันให้ได้ก่อน
ไม่งั้นช่องว่างระหว่างคน
จะเป็นอุปสรรคให้เจรจาไม่รู้เรื่อง

- ดังตฤณ -
http://www.facebook.com/AskDungtrin


"มองเป็น ก็เห็นธรรม...
มองต่ำ ธรรมอยู่เบื้องหน้าก็ไม่เห็
เพราะมีจิต ไปยึดติดในกฏเกณฑ์
แล้วไปเน้นเอนหลับทับคัมภีร์...

ธรรมแท้ มีอยู่ ที่ทั่วไป...
คนมีปัญญา มองอย่างไรพบทุกที่
ครูธรรมชาติสอนเราได้อย่างด
โอปนยิโกมี น้อมมาสู่ภายใน

โยนิโสมนสิการ การใคร่ครวญ
เป็นกระบวนเรียนรู้ ดับทุกข์ได้
เมื่อได้เห็น กำหนดดู รู้ทันไป
ตัณหาไม่ เกิดมี เพราะรู้ทัน

อุปาทานการยึดถือ ของเราเขา
จิตถูกเผา เร่าร้อน อย่างมหันต์
การปล่อยวางว่างทุกข์สุขใจพลัน
ธรรมะนั้น จะแจ่มชัด เมื่อปฏิบัติตามฯ
• ถ้ายังไม่มีความรัก 
อย่าเพิ่งรีบหาความรัก 
แต่ให้เร่งรู้วิธีสร้างความรัก 
ด้วยการใจเย็นเป็น เห็นใจเป็น 
พูดดีเป็น อภัยเป็น ไม่เสแสร้งเป็น 
แล้วในที่สุดความรักจะตามหาคุณเจอเอง

• ความรักเป็นภาวะปรุงแต่ง
อาศัยบุญเก่าที่เคยอยู่ร่วมกัน
เป็นตัวผลักดันให้มาพบและคุ้นกัน
และอาศัยบุญใหม่ทำให้อยู่ร่วมกันรอด

~ ♡ ~ ⊰ ❤ℒℴνℯ❤ ⊱ ~ ♡ ~

• การส่งเสริมกันทางจิตวิญญาณ
คือวิธีเดียว
ที่จะรักษากันและกันไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง

ฉะนั้น
อาจต้องเริ่มจากจุดแรกสุด
คือขอให้เลือกคนที่คุณ...
: อยากสวดมนต์ร่วมกับเขา
: อยากใส่บาตรร่วมกับเขา
: คนที่คุณอยากคิดกับเขาในทางดี
: อยากพูดดีๆกับเขา
และอยากทำอะไรดีๆให้เขา

เริ่มเดินดียิ่งเดินก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ
ต่อให้ต้องเผชิญหน้าปัญหาทางการเงิน เจอมือที่สาม
หรือกระทั่งเซ็กส์ไม่สมดุล
ก็ยากนักที่จะทำให้คุณแตกแยกกันได้

• กุศลแรงที่สุดที่ช่วยรักษาชีวิตคู่ไว้
คือกุศลทางใจอันเกิดจากการคิดเกื้อกูลกัน
ไม่ยอมตามความคิดประทุษร้ายกัน
ตั้งใจจริงและลงมือทำ

~ ♡ ~ ⊰ ❤ℒℴνℯ❤ ⊱ ~ ♡ ~

• บุญเก่าไม่พอ
คือไม่พอจะทำให้อยากคบกัน
บุญใหม่ไม่พอ
คือไม่พอจะทำให้จากกันโดยดี
อย่าว่าแต่จะทำให้อยู่กันได้รอด

• รักที่สุดคืออาการยึดที่สุด
ยึดที่สุดคือต้นทางทุกข์ที่สุด

• รักอันเจือด้วยราคะ
คืออาการยึดของจิต
จิตยึดเมื่อไร ต้นเหตุทุกข์ก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น

: ส่วนรักด้วยเมตตา
คือปล่อยอาการยึด
มีแต่ปรารถนาความไม่เบียดเบียนและความเกื้อกูล
อาการไม่ยึดของจิต
ก็คือคลายเหตุแห่งทุกข์

~ ♡ ~ ⊰ ❤ℒℴνℯ❤ ⊱ ~ ♡ ~

• พบรักแท้ว่ายากแล้ว
เหมือนโชคดีเหลือเกินแล้ว
แต่ความจริงคือพบทางพ้นทุกข์นั้นยากกว่า
และโชคดีกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้

เพราะความรักเป็นสิ่งที่เจืออยู่ด้วยความว้าวุ่น
และต้องยุติลงด้วยการจากเป็นหรือจากตาย

แต่ความพ้นทุกข์
มีแต่ความสงบที่เต็มบริบูรณ
กับทั้งเป็นอมตะอย่างแท้จริ
ไม่มีการพรากจากอีกเลย

- ดังตฤณ -

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555



...อันชีวิตคิดไปให้หนักหมอ
ตามครรลองมนุษย์มิหยุดได้
พบทั้งสุขทุกข์ระคนปนกันไง
มิมีใครพบแต่สุขทุกข์ไม่มี

...บ้างเกิดมาผาสุกไร้ทุกข์โศก
โตขึ้นโรครุมเร้าเผาเป็นผี
บ้างกำเนิดเกิดมาล้าชีวี
กลับเป็นดีตอนแก่แล้วแต่กรร

...หนอคนเราเฝ้าท้อต่อชีวิต
บ้างก็คิดฆ่าตัวมัวถลำ
บ้างมัวเหลิงเริงร่าฮาประจำ
บ้างก็ทำแต่งานผ่านเดือนปี

๑เรยา๑
ไม่เคยมี..ไม้สักใบ..ไปสู่ฟ้า 
มีแต่ร่วง..ลงมา..ยังเบื้องล่าง 
แนบซบลง..สู่ดิน..สิ้นสอางค์ 
กลายดำด่าง..เปื่อยเน่า..แทรกเข้าดิน
ไม่มีใคร..สักคน..ทนค้ำฟ้า 
อมตะ..แห่งชีวา..ไม่ดับดิ้น
มีแต่เอน..ร่างแนบ..แอบกับดิน
เป็นธุลี..หมดสิ้น..ไม่เหลือกาย
ไม่มีเลย..สักใบ..กลายเป็นทอง
ต้องหม่นหมอง..ปลิดปลิว..พลิ้วลับหาย
ไม่มีเลย..สักคน..ที่ไม่ตาย
ต้องแพ้พ่าย..มัจจุมาร..ราญราวี
โค้งสุดท้าย..ปลายชีวิต..ใกล้ปิดแล้ว
เร็วหรือแผ่ว..ก็ต้องถึง..ตรึงกับที่
เลือกเอาเถิด..จะทำชั่ว..หรือทำดี
พกติดตัว..ข้ามภพนี้..หลังความตาย.....

โดย...ขิปฺปสิทฺโธภิกฺขุ เชียงใหม่

แม้สิ่งแรกที่มองเห็นคือ "หน้าตา" ไม่ใช่ "ความดี" แต่สิ่งที่อยู่อยู่ตลอดไปคือ "ความดี" ไม่ใช่ "หน้าตา"


• แม้สิ่งแรกที่มองเห็นคือ "หน้าตา" ไม่ใช่ "ความดี"
แต่สิ่งที่อยู่อยู่ตลอดไปคือ "ความดี" ไม่ใช่ "หน้าตา"

- @ธรรมทาน -

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ความสวยความหล่อนั้น
เอาไว้ล่อคนรู้จักห่างๆ
หรือไม่รู้จักเลยให้ลุ่มหลง
เป็นความทรงจำที่เอาไว้ร่ำลือให้พากันตื่นเต้นเล่น

: ส่วนความดีงามนั้น
เอาไว้ผูกใจคนรู้จักใกล้ชิดให้สนิทใจ
เป็นความทรงจำอันน่าสบายใจในชีวิต
เป็นความทรงจำที่อยากจำ ไม่ใช่ฝืนจำ

• ถ้าคุณเป็นความทรงจำอันงดงามสำหรับคนอื่น
ช่วยให้คนอื่นเชื่อในระยะยาวว่ามีคนปากตรงกับใจ
การกระทำตรงกับความคิด
ผลไม่ใช่แค่ทำให้คนอื่นรู้สึกดีขณะอยู่ในโลกนี้

แต่จะทำให้ตัวคุณเองรู้สึกดีทั้งเมื่อยังอยู่ในโลกนี้
และเมื่อจากโลกนี้ไปสู่โลกหน้าแล้ว

"หน้าตาดี คนจะจำว่าสะสวยครึ่งชีวิต
แต่จิตใจดี คนจะจำว่างดงามไปทั้งชาติ"

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ความสวย ทำให้เขาอยากได้
ความสุข ทำให้เขาอยากอยู่ด้วย

- ดังตฤณ -

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

• เนื้อแท้ของการเวียนว่ายตายเกิดนั้น 
ไม่มีใครทำอะไรใคร 
มีแต่คนก่อกรรมให้ตัวเอง
เป็นอย่างไรกันทั้งสิ้น

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ถ้าไม่อยากให้ตัวเองเดือดร้อนแบบไหน 
อย่าทำแบบนั้นกับคนอื่น

ถ้าอยากให้ตัวเองมีความสุข
มีความสบายแบบไหน
จงทำความสขุความสบายแบบนั้นให้กับคนอื่น

• นี่คือหลักการของกรรม
ทำอย่างไรกับคนอื่น
สิ่งนั้นแหละมันได้กับตัวเอง

พูดง่ายๆว่าทำกับคนอื่น
ก็คือทำกับตัวเองนั่นแหละ

• ในโลกนี้เนี่ย
จำไว้เลยว่า
ไม่มีใครทำอะไรให้ใครหรอก
มีแต่คนทำอะไรให้ตัวเองกันทั้งนั้น

เป็นอย่างนี้มาชั่วกัปชั่วกัลป์นะ

บางคนเสียสละตัวเอง
อุทิศชีวิตให้คนอื่น
โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน
รู้แต่ว่าเกิดมาอยากจะทำอะไร
ให้คนอื่นตลอด

• ทำอะไรให้คนอื่นแค่ไหน
ก็เท่ากับทำให้ตัวเอง
คูณเข้าไป 10 คูณเข้าไป 100 เลย

เพราะอะไร
: เพราะว่าความเต็มใจที่จะทำให้กับคนอื่น
ความเต็มใจที่จะไม่เบียดเบียนคนอื่นนั่นแหละ
เป็นบุญใหญ่

เป็นสิ่งที่บอกได้ว่า
หนทางข้างหน้า
เรากำลังโรยด้วยอะไร

...ระหว่างกลีบกุหลาบ
กับหนามกุหลาบ..

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• กรรมเนี่ยมี 2 ด้านเหมือนกุหลาบ
กลีบกุหลาบก็นุ่มนวลหน่อย
หนามกุหลาบก็แหลมคม
ทิ่มตำกันหน่อย

ส่วนที่เป็นบุญนะ
ก็เหมือนกับการสร้างกลีบกุหลาบ
ไว้โรยให้ตัวเอง

ส่วนบาปนะ อกุศลทั้งปวง
ก็เหมือนกับการสร้างหนามกุหลาบ
มาโรยไว้บนเส้นทางของตัวเองนั่นแหละ

.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ถ้าเชื่อเรื่อง "กรรมวิบาก"
ก็เท่ากับเลิกเชื่อ "ความบังเอิญ"
หันมาเชื่อใน "เหตุผล"

...เมื่อเชื่อว่า ทุกสิ่งที่กำลังเห็นคือผลของเหตุ
ก็ต้องเชื่อว่า ทุกสิ่งที่กำลังทำคือเหตุของผล...

- ดังตฤณ -

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555


• อดีต เอาไว้สอนใจ 
อนาคต เอาไว้เตรียมใจ 
ปัจจุบัน เอาไว้ใส่ใจ

• การรู้ตัวว่ายังมีชีวิต
ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจ
ความภูมิใจในการมีชีวิตต่างหาก ที่ใช่ 

• อยู่อย่างไร้ค่า
เพราะไม่หาเรื่องน่าภูมิใจให้ตัวเองทำ

• ชีวิตดีๆ ไม่ควรมีแต่ลมหายใจ
ทุกลมหายใจ ควรมีเป้าหมายในชีวิตอยู่ด้วย

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ถ้าอยากมีชีวิตที่เลวลง อย่างคิดไม่ถึง
คุณแค่หมั่นทำเลว ที่ไม่เคยแม้จะอยู่ในความคิด
หากปรารถนาชีวิตที่ดีขึ้น อย่างคิดไม่ถึง
คุณต้องทำดีมากกว่า ที่คิดว่าตัวเองจะทำได้

• เราต้องสร้างที่พึ่ง
อันมั่นคงที่สุดในชีวิตไว้ก่อนล่วงหน้า
นั่นคือ "วิธีคิดที่จะลุกขึ้นด้วยตัวเอง"
สร้างเสร็จเมื่อไร
พร้อมใช้ตลอดชีวิตที่เหลือเมื่อนั้น

• วิธีทำชีวิตให้ดีที่สุด
คือจัดการกับวันนี้ ก่อนวางแผนถึงวันหน้า
ไม่ใช่เอาแต่พะวงถึงวันหน้า ก่อนจัดการกับวันนี้

.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..

• ชีวิตที่เกิดมาดีที่สุด
คือชีวิตที่รู้ว่า
เราจะตั้งเข็มไปทางสวรรค์นิพพานได้ยังไง

• เสวยสุขโดยดี ยังไม่ใช่คนดีทน
ต้องฝึกตนผ่านทุกข์ได้ด้วยดี ถึงจะดีจริง

• พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ดีครั้งเดียว
แล้วได้รับผลตอบแทนดีๆกลับมาตลอดไป
ท่านให้ดีตลอดไป
แล้วค่อยหวังจะรับผลดีได้นานๆครับ

- ดังตฤณ -
http://www.facebook.com/AskDungtrin

•『 TUNYAR 』• 
 ไฟ ๑๑ กองที่แผดเผาสัตว์โลก "

อันว่า...สรรพสัตว์ทั้งปวงคือมนุษย์ และไม่เว้นแม้แต่เทวดา คือว่ามีไฟ ๑๑ กองแผดเผาอยู่เสมอ ไฟที่เป็นเหตุให้ได้รับความทุกข์ทรมานดังกล่าว มีดังนี้

๑. ราคะ ความกำหนัด ความชอบใจในกามคุณ

๒. ไฟโทสะ คือ ความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะสำคัญ

๓. ไฟโมหะ ได้แก่ ความลุ่มหลงต่าง ๆ ในรูป รส กลิ่น เสียง ความลังเลฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์

๔. ชาติ ไฟแห่งความเกิด หรือกำเนิดที่เป็นทุกข์

๕. ชรา คือ ความแก่ การก้าวสู่ความเสื่อมของร่างกายที่เป็นทุกข์

๖. มรณะ คือ ไฟร้อนที่เกิดจากความตาย ความพลัดพรากอันเป็นทุกข์

๗. โสกะ คือ ไฟแห่งความเศร้าโศก

๘. ปริวะ คือ ไฟบ่นเพ้อร่ำไรรำพัน

๙. ทุกขัง คือ ไฟที่มาจากความทุกข์ยากลำบาก ทั้งกายและจิตใจ

๑๐. โทมนัส คือ ไฟที่มาจากความเสียใจ

๑๑. อุปายโส คือ ไฟที่มาจากความคับแค้นใจ

ครับ ไฟทั้งปวงที่กล่าวมา ท่านถือว่าเป็นไฟที่ลุกโชนเผาผลาญสัตว์โลกมายาวนาน นับตั้งแต่อุบัติจนถึงปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าอย่างมิรู้จบ

ฤา...ฟ้าพิโรธ....ของหิ่งห้อยน้อย

กวีธรรมเบาๆ ในวันหยุด
ฤา ... ฟ้าพิโรธ 

๐ ฟ้าพิโรธ .. ขึ้งโกรธ โลกมนุษย์
มิยั้งหยุด แสดงมา น่ากลัวยิ่ง
เพราะมนุษย์ มิเชื่อฟ้า ยามสุขอิงน
โถมทุกสิ่ง ให้ได้ห่ม บ่มเพาะกาม

๐ ฟ้าพิโรธ .. ยังไม่ถึง ซึ่งขีดสุด
เหวยมนุษย์ ที่อวดดี มีแต่หยาม
ไม่เห็นดิน ไม่รู้ฟ้า พามุ่งกาม
คิดกระทำ แต่ตาม ใจของตน

๐ ฟ้าพิโรธ .. เพราะมนุษย์ ลบหลู่ฟ้า
ขอเพียงข้าฯ เสวยไว้ ในสุขล้น
ผู้ต่ำต้อย แหงนคอย วาสนาตน
ทำทุกอย่าง ให้พ้น หนต่ำทราม

๐ ฟ้าพิโรธ .. โกรธแล้ว เล่นงานบ้าง
กลับใช้อ้าง สร้างสิ่งชั่ว มั่วเหตุสาม
ทั้งกาย จิต วาจา ไซร้ ไร้ความงาม
อยู่ในคาม โลภ โกรธ หลง ดงโลกีย์

๐ ฟ้าพิโรธ .. ระลึกได้ กันไหมหนอ
อย่าเพียงรอ ขอให้ช่วย อวยสิ่งศรี
เพียรกระทำ กาย จิต และวจี
สร้างกรรมดี ด้วยเจริญ เมตตาธรรม

๐ ฟ้าพิโรธ .. อย่างไร เรื่องของฟ้า
เจริญเมตตา กันไว้ด้วย ช่วยอุปถัมภ์
เพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมสุข ร่วมระกำ
ยามเพื่อนช้ำ ช่วยกันไว้ ให้คลายทุกข์ฯ

****************************************
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ
หิ่งห้อยน้อย

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ธรรมในวันหยุด.. วันอาทิตย์ที่ ๘ กค.๕๕
รูปมายา ….. กายที่ไม่งาม

๐ มองเห็นรูป มายา ตรงหน้านี้
ยากจะเอ่ย เผยวจี ตำหนิไฉน
ภาพสะท้อน รูปเด่น งามเหลือใจ
ใครเล่าใคร จะมองเห็น เช่นอสุภะ

๐ ตาเห็นรูป ลูบไล้ เพียงภายนอก
ตามิหลอก รูปร้าย ใคร่อยากผละ
แม้นกลับด้าน ในเป็นนอก ล้วนอสุภะ
เพ่งให้เห็น เพื่อละ ความยินดี

๐ เมื่อรู้เห็น กายเช่น อสุภะ
หรือเปรียบดัง อุจจาระ ในหม้อใหญ่
นำสิ่งประดับ มาตบแต่ง ภายนอกไว้
เพื่อทำให้ มองเห็น เช่นมณี

๐ อุปาทาน ยึดมั่น คือตัวเรา
ที่แบกเขลา โง่งมมา ว่าสดศรี
สักกายะ ตัวตน ล้นอินทรีย์
คลายฤดี ละไว้ ในตัวตน

๐ สังโยชน์หนึ่ง สิ่งทราม ตามผลาญจิต
ที่แนบสนิท พาจิต เวียนว่ายหน
ละสักกายะทิฏฐิ ทิ้งตัวตน
อย่าไปค้น ให้โผล่มา แล้วยึดครอง

๐ กายไม่งาม กายไม่งาม เห็นทรามแน่
สิ่งที่แท้ มหาภูตสี่ ที่สนอง
โตด้วยข้าว และขนม บ่มและกรอง
ท้ายที่สุด สุดหมอง ต้องแตกทำลายฯ

*******************************
๐ อุปาทาน = ยึดมั่นถือมั่น

๐ อสุภะ = สิ่งที่ไม่งาม

๐ สักกายะ = ตัวตน

๐ สักกายทิฏฐิ = ความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน
เป็นสังโยชน์ตัวที่ ๑ ที่ร้อยรัดจิตของสัตว์โลกไว้กับทุกข์
และทำให้เวียนว่ายในวัฏฏสงสาร

๐ อินทรีย์ = ความเป็นใหญ่ ธรรมที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าการ
ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

๐ มหาภูต ๔ = ธาตุทั้ง ๔ ที่ประกอบเป็นร่างกายของสัตว์
ได้แก่ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ

๐ สังโยชน์ = ธรรมที่เป็นกิเลสที่มัดจิตสัตว์ไว้กับทุกข์
ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสาร
ถ้าละสังโยชน์ได้ ก็ไม่มีสิ่งผูกมัดไว้ในวัฏฏสงสาร
ก็จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิด มี ๑๐ อย่าง

***************************************
เจริญในธรรมเจ้าค่ะ
หิ่งห้อยน้อย

*****************